Thai Traditional Medicine & Herbs

ภาพระยะใกล้ของหม้อดินเผาแบบไทยที่บรรจุเกลือเม็ดใหญ่ มีไอร้อนลอยขึ้น วางอยู่บนเตาถ่าน พร้อมสมุนไพรพื้นบ้านอยู่ด้านหลัง บรรยากาศอบอุ่นในสไตล์สปาไทย

การทับหม้อเกลือหลังคลอด ช่วยคุณแม่อย่างไร?

ตามหลักการแพทย์แผนไทย หลังคลอดบุตรร่างกายของมารดาจะสูญเสียธาตุทั้ง 4 ได้แก่ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม และธาตุไฟ ซึ่งต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ “การทับหม้อเกลือ” หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “การนาบหม้อเกลือ” จึงเป็นหนึ่งในวิธีฟื้นฟูสุขภาพตามศาสตร์การแพทย์แผนไทยประยุกต์ที่ เพื่อทำให้ร่างกายคุณแม่กลับคืนสู่ภาวะปกติ หลายคนอาจยังไม่รู้ว่า การทับหม้อเกลือช่วยอะไรได้บ้าง และควรทำเมื่อไรจึงจะปลอดภัยที่สุด? มาหาคำตอบกันค่ะ การทับหม้อเกลือคืออะไร? การทับหม้อเกลือ เป็นการใช้หม้อทะนนใส่เกลือทะเลหยาบ นำมาตั้งไฟให้ความร้อน แล้วนำมาห่อด้วยใบพลับพลึง และใส่สมุนไพรฤทธิ์ร้อน ประคบบริเวณหน้าท้อง มีสรรพคุณช่วยขับน้ำคาวปลา หน้าท้องกระชับ ทำให้มดลูกเข้าอู่เร็วขึ้น  ประโยชน์ของการทับหม้อเกลือหลังคลอด เพื่อฟื้นฟูสภาพหลังคลอด ช่วยให้เลือดและลมไหลเวียนสะดวก ช่วยทำให้มดลูกเข้าอู่ได้เร็วขึ้น ช่วยทำให้น้ำคาวปลาไหลสะดวก ช่วยทำให้กล้ามเนื้อหน้าท้องแข็งแรง และอาจส่งผลให้หน้าท้องยุบได้เร็ว บรรเทาอาการเมื่อยล้า ปวดกล้ามเนื้อ และปวดมดลูก ควรเริ่มทับหม้อเกลือเมื่อไร? กรณีคลอดธรรมชาติ: เริ่มได้ตั้งแต่ 7 วัน หลังคลอด กรณีผ่าคลอด: 30-45 วันหลังคลอด หรือหลังจากตรวจแผลผ่าคลอดเรียบร้อยแล้ว (แผลแห้งสนิทดี) ข้อห้ามในการทับหม้อเกลือ ไม่ควรทับหม้อเกลือขณะมีไข้  ควรทำหลังจากแผลผ่าคลอดแห้งสนิทดี  ทำควบคู่กับการอยู่ไฟจะได้ผลลัพธ์ดียิ่งขึ้น ทำไมต้องเลือกทับหม้อเกลือที่อุ่นเรือนคลินิก? ที่อุ่นเรือนคลินิก เรามีบริการอยู่ไฟหลังคลอดแบบครบวงจรโดยแพทย์แผนไทยประยุกต์ที่มีประสบการณ์ด้านการดูแลคุณแม่หลังคลอดโดยเฉพาะทั้งการนวดกระตุ้นน้ำนม นวดคลายกล้ามเนื้อ นวดโกยหน้าท้อง ทับหม้อเกลือและอบสมุนไพร เพื่อฟื้นฟูร่างกายอย่างปลอดภัย ✅ ให้บริการในคลินิกและนอกสถานที่✅ คอร์สอยู่ไฟ 3/5/7/10 วัน✅ แพทย์แผนไทยประยุกต์ จบการศึกษาจาก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล สาขาการแพทย์แผนไทยประยุกต์ 📞 จองคิว: 061-997-4162 | Line: @273cevhb📍 ดูแผนที่: อุ่นเรือนคลินิก

อ่านต่อ »
คุณแม่ตั้งครรภ์ขณะนวดโดยแพทย์แผนไทย

ข้อควรระวังในการนวดสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์

การนวดแม่ตั้งครรภ์ เป็นหนึ่งในวิธีผ่อนคลายที่หลายคนเลือกเพื่อบรรเทาอาการปวดเมื่อย แต่หากนวดไม่ถูกวิธี อาจเกิดผลข้างเคียงที่ส่งผลต่อทั้งคุณแม่และทารกในครรภ์ได้โดยไม่รู้ตัว ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปดูว่า ข้อควรระวังในการนวดหญิงตั้งครรภ์ มีอะไรบ้าง เพื่อให้การนวดขณะตั้งครรภ์นั้นปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด ทำไมนวดจึงสำคัญกับคุณแม่ตั้งครรภ์? ในระหว่างตั้งครรภ์ ร่างกายของผู้หญิงจะเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ทั้งในด้านฮอร์โมน กล้ามเนื้อ และระบบไหลเวียนโลหิต การนวดจึงช่วยบรรเทาอาการปวดหลัง ปวดเอว อ่อนล้า และช่วยให้นอนหลับดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกช่วงเวลาหรือทุกจุดของร่างกายจะนวดได้โดยปลอดภัย ช่วงเวลาที่ควรหลีกเหลี่ยงการนวด ไตรมาสแรก (1–12 สัปดาห์) เป็นช่วงที่คุณแม่ควรหลีกเลี่ยงการนวดอย่างยิ่ง เพราะเป็นช่วงที่มีความเสี่ยงสูงต่อการแท้ง หรือกระตุ้นให้มดลูกหดตัวโดยไม่ตั้งใจ หากไม่จำเป็น ควรรอให้อายุครรภ์เกิน 12 สัปดาห์ก่อนเข้ารับบริการ 1 เดือนก่อนคลอด เนื่องจากจะเป็นการกระตุ้นให้เจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดได้ หลักการนวดแม่ตั้งครรภ์ หรือนวดหญิงตั้งครรภ์ กดนวดเบาๆ ด้วยความนุ่มนวล เพื่อให้เกิดความผ่อนคลาย ไม่ทำให้เกร็ง หรือเจ็บ ไม่นวดบดขยี้ ด้วยความรุนแรง อาจเสี่ยงการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ตามมาได้ ฟังเสียงร่างกายตัวเองเสมอ หากขณะนวดรู้สึกเวียนหัว หน้ามืด ใจสั่น หรือท้องแข็ง — หยุดทันที และแจ้งแพทย์หรือผู้ให้บริการ เพราะร่างกายกำลังส่งสัญญาณว่ามีความไม่สมดุลเกิดขึ้น ท่านอนที่เหมาะสมในการนอนของหญิงตั้งครรภ์ แนะนำให้ใช้ ท่านอนตะแคงซ้าย ระหว่างนวด เพื่อป้องกันการกดทับเส้นเลือดใหญ่ (vena cava) ที่จะส่งผลต่อระบบไหลเวียนเลือดของแม่และลูกในครรภ์ เลือกแพทย์แผนไทยประยุกต์ที่มีประสบการณ์ การนวดขณะตั้งครรภ์ไม่ควรทำโดยหมอนวดทั่วไป ควรเลือกผู้ที่มีความรู้เฉพาะทางเกี่ยวกับ การดูแลหญิงตั้งครรภ์ และผ่านการอบรมด้าน การนวดปลอดภัยสำหรับแม่ตั้งครรภ์ โดยเฉพาะ หากคุณกำลังมองหาคลินิกที่เข้าใจคุณแม่ตั้งครรภ์อย่างแท้จริง 📍 เราขอแนะนำบริการ นวดสำหรับแม่ตั้งครรภ์โดยแพทย์แผนไทยประยุกต์📆 เปิดบริการทุกวัน 10:00 – 20:00 น. | โทร. 061-997-4162 | Line: @273cevhb 

อ่านต่อ »
หญิงสูงอายุชาวเอเชียใต้กำลังนั่งบนโซฟา มือจับหน้าท้อง สีหน้าเจ็บปวดจากอาการลมในร่างกาย

ลมในร่างกายเยอะคืออะไร? อาการ สาเหตุ และวิธีแก้แบบแพทย์แผนไทยประยุกต์

เคยไหม? แน่นหน้าอก อืดท้อง จุกเสียด เวียนศีรษะ หรือแม้แต่นอนไม่หลับโดยไม่ทราบสาเหตุ อาจเป็นเพราะ “ลมในร่างกายเยอะ” ซึ่งพบได้บ่อยโดยเฉพาะในคนยุคใหม่ที่มีความเครียดสูงและระบบย่อยอาหารทำงานไม่สมดุล “ลมในร่างกาย” ตามศาสตร์แพทย์แผนไทย ในแพทย์แผนไทยประยุกต์ “ลม” หรือ “วาโยธาตุ” เป็นธาตุหนึ่งในสี่ (ดิน-น้ำ-ลม-ไฟ) ที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย เช่น การหายใจ การเคลื่อนตัวของอาหาร เลือด หรือแม้แต่ความคิด หากลมเดินผิดจะเกิดอาการหลากหลาย เช่น: แน่นท้อง อืด จุกเสียด เวียนศีรษะ หน้ามืด ใจสั่น นอนไม่หลับ ปวดเมื่อยเรื้อรัง รู้สึกเหมือนมีลมตีขึ้นศีรษะหรือตามตัว 🧾 สาเหตุที่ทำให้ลมในร่างกายมากผิดปกติ กินอาหารไม่ตรงเวลา หรือกินของแสลงลม พฤติกรรมเนือยนิ่ง ไม่ค่อยเคลื่อนไหว ความเครียด พักผ่อนน้อย ท้องผูกเรื้อรัง การรับลมเย็นหรืออยู่ในห้องแอร์นานเกินไป 🩺 วิธีการดูแลตัวเองเมื่อมีลมในร่างกายมาก 1. ปรับอาหาร หลีกเลี่ยง: ของทอด อาหารหมักดอง น้ำอัดลม ถั่ว ผักดิบ เพิ่มอาหารขับลม: ขิง ตะไคร้ พริกไทยดำ กระชาย กะเพรา ดื่มน้ำขิงอุ่น หรือชาตะไคร้แทนน้ำเย็น 2. ใช้ศาสตร์แผนไทยประยุกต์ นวดจับเส้น / นวดรักษา เพื่อเปิดเส้นลมที่อุดกั้น ประคบสมุนไพร เพื่อคลายกล้ามเนื้อและระบายลม อบสมุนไพร กระตุ้นการไหลเวียนของลมและเลือด 3. ออกกำลังกายเบาๆ เช่น เดินเร็ว โยคะ ยืดเหยียดกล้ามเนื้อ 4. ปรึกษาแพทย์แผนไทยประยุกต์   🧘‍♀️ อุ่นเรือนคลินิก ดูแลลมในร่างกายด้วยวิธีธรรมชาติ ที่ อุ่นเรือนคลินิกการแพทย์แผนไทยประยุกต์ เราให้บริการดูแลลมในร่างกายด้วยศาสตร์การแพทย์แผนไทย ได้แก่ นวดรักษา + ประคบสมุนไพร อบไอน้ำสมุนไพร ปรับสมดุลธาตุ จ่ายยาสมุนไพรเพื่อปรับสมดุลธาตุตามความเหมาะสมกับโรคหรืออาการของแต่ละบุคคล ปรึกษาและติดตามอาการกับแพทย์แผนไทยประยุกต์จบปริญญาตรีจากศิริราช 📍 เปิดบริการทุกวัน 10:00–20:00 น.📞 โทร 061-997-4162 | Facebook | Line ID: @273cevhb

อ่านต่อ »
อุปกรณ์​ Wellness

คลินิกแพทย์แผนไทยประยุกต์ กับ Wellness ต่างกันอย่างไร?

รู้จักแนวทางการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมสู่คุณภาพชีวิตที่ดี ปัจจุบันคนไทยและทั่วโลกให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมมากขึ้น ไม่ใช่เพียงการรักษาเมื่อเจ็บป่วย แต่รวมถึงการป้องกัน ฟื้นฟู และเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ ทำให้แพทย์ทางเลือก (ซึ่งในที่นี้จะกล่าวถึง “แพทย์แผนไทยประยุกต์”) และ “Wellness” ได้รับความสนใจอย่างแพร่หลาย หลายคนอาจสงสัยว่าสองแนวทางนี้เหมือนหรือต่างกันอย่างไร วันนี้เราจะมาอธิบายให้เข้าใจอย่างชัดเจน ความหมายของ “คลินิกแพทย์แผนไทยประยุกต์” แพทย์แผนไทยประยุกต์ คือ การนำศาสตร์การแพทย์แผนไทยดั้งเดิมมาปรับใช้ร่วมกับความรู้ทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ โดยยึดหลัก 4 องค์ประกอบของชีวิต คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ พร้อมแนวคิดสุขภาพแบบองค์รวม (Holistic Health) คลินิกแพทย์แผนไทยประยุกต์ จึงเป็นสถานพยาบาลที่มีบุคลากรวิชาชีพที่ได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงสาธารณสุข ให้บริการตรวจ วินิจฉัย รักษา และฟื้นฟูผู้ป่วยด้วยศาสตร์แผนไทย เช่น การนวดไทยเพื่อการรักษา การประคบสมุนไพร การอบไอน้ำสมุนไพร การใช้ยาไทย หรือยาสมุนไพร การดูแลมารดาหลังคลอด หรือการอยู่ไฟหลังคลอด การปรับสมดุลธาตุทั้งสี่ของร่างกาย ความหมายของ “Wellness” Wellness (เวลเนส) หรือ “สุขภาวะ” คือแนวคิดการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมโดยเน้นการส่งเสริมสุขภาพก่อนที่จะเกิดโรค เน้นการมีคุณภาพชีวิตที่ดีทั้งด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม และจิตวิญญาณ บริการด้าน Wellness อาจประกอบด้วย: โปรแกรมล้างพิษ (Detox) โภชนาการเพื่อสุขภาพ ฟิตเนสและโยคะ การทำสมาธิ / Mindfulness การให้คำปรึกษาทางสุขภาพ ทรีตเมนต์เพื่อผ่อนคลาย เช่น สปา อโรมาเทอราพี โดยสถานที่ที่ให้บริการ Wellness อาจเป็นศูนย์สุขภาพ รีสอร์ต หรือสถานบริการเฉพาะทางที่ไม่ได้เน้นการรักษาโรคโดยตรง ความเหมือนกันระหว่างคลินิกแพทย์แผนไทยประยุกต์กับ Wellness ทั้งสองแนวทางเน้นการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม (Holistic Health) ให้ความสำคัญกับการป้องกันโรคและการฟื้นฟูสุขภาพ ส่งเสริมการปรับสมดุลของร่างกายและจิตใจ ใช้แนวทางธรรมชาติ เช่น สมุนไพร การนวด การผ่อนคลาย ความแตกต่างที่สำคัญ ประเด็น คลินิกแพทย์แผนไทยประยุกต์ Wellness จุดมุ่งหมายหลัก การรักษา ฟื้นฟู หรือบำบัดโรค การส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค ผู้ให้บริการ แพทย์แผนไทยประยุกต์ (มีใบอนุญาตวิชาชีพ) เทรนเนอร์ นักกำหนดอาหาร นักสุขภาพ หรือผู้เชี่ยวชาญด้าน Wellness (อาจไม่จำเป็นต้องมีใบประกอบวิชาชีพ) ลักษณะการบริการ มีการตรวจ วินิจฉัย รักษาตามหลักแพทย์แผนไทย มุ่งเน้นกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพ เช่น โภชนาการ ออกกำลังกาย ผ่อนคลาย การกำกับดูแล อยู่ภายใต้กระทรวงสาธารณสุข มักดำเนินงานภายใต้ภาคเอกชนหรืออุตสาหกรรมท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ บทสรุป แม้ว่า คลินิกแพทย์แผนไทยประยุกต์ และ Wellness จะมีจุดร่วมในแนวคิดการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม แต่เป้าหมายและแนวทางการดำเนินการยังแตกต่างกันอย่างชัดเจน หากคุณมีอาการเจ็บป่วยเรื้อรัง ต้องการการบำบัดจากศาสตร์แผนไทยที่มีมาตรฐานและปลอดภัย ควรเลือก คลินิกแพทย์แผนไทยประยุกต์ หากคุณต้องการฟื้นฟูร่างกาย เติมพลังชีวิต หรือปรับไลฟ์สไตล์เพื่อสุขภาพ ควรเลือกโปรแกรมในสาย Wellness สุดท้าย ไม่ว่าจะเลือกแนวทางใด สิ่งสำคัญคือการใส่ใจดูแลตนเองในทุกมิติ ทั้งกาย ใจ และจิตวิญญาณ เพื่อสร้าง “สุขภาพดี” ที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง ที่ อุ่นเรือนคลินิกการแพทย์แผนไทยประยุกต์ เราเชื่อในศาสตร์ของการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ด้วยแนวทางแพทย์แผนไทยประยุกต์ที่ไม่เพียงเน้นการรักษา แต่ยังรวมถึงการส่งเสริม ป้องกัน และฟื้นฟูสุขภาพอย่างต่อเนื่อง นอกจากบริการตรวจ วินิจฉัย และรักษาโดยแพทย์แผนไทยประยุกต์ที่ได้รับใบอนุญาต เรายังมีโปรแกรมส่งเสริมสุขภาพที่เหมาะกับผู้ที่ไม่ได้มีอาการเจ็บป่วย อาทิ นวดไทยและประคบสมุนไพรเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพ นวดน้ำมันอโรม่า นวดหน้า อบไอน้ำสมุนไพร การให้คำแนะนำตามศาสตร์การแพทย์แผนไทย เราใส่ใจในทุกขั้นตอน เพื่อให้คุณได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมกับสุขภาวะทางกายและใจ หากคุณกำลังมองหาทางเลือกเพื่อสุขภาพที่ปลอดภัย เป็นธรรมชาติ และยั่งยืนติดต่อสอบถามหรือจองคิว คลิกที่นี่

อ่านต่อ »

กัวซา (Gua Sha) คืออะไร?

“กัวซา” กับกระดูกสันหลัง: ฟื้นฟูสุขภาพด้วยศาสตร์ธรรมชาติบำบัด ศาสตร์ของกัวซา (Gua sha) หรือการขูดเส้น เป็นการแพทย์พื้นบ้านที่มีมาแต่โบราณ จุดมุ่งหมายหลักเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและพลังงานลมปราณ (ชี่) ขับของเสียออกจากร่างกาย ลดอาการติดขัดและบรรเทาอาการเจ็บปวดตามแนวเส้นพลังงานต่าง ๆ ซึ่งในทางกายภาพสมัยใหม่สามารถอธิบายได้ว่า การกัวซาช่วยกระตุ้น ระบบประสาทอัตโนมัติและระบบไหลเวียนโลหิต 🧠 เส้นประสาทและกระดูกสันหลัง: จุดเชื่อมโยงสำคัญกับอวัยวะภายใน กระดูกสันหลังไม่ได้เป็นเพียงโครงสร้างที่ช่วยค้ำจุนร่างกาย แต่ยังเป็นศูนย์กลางของการส่งผ่าน “กระแสประสาท” จากสมองไปสู่อวัยวะต่าง ๆ ผ่านเส้นประสาทไขสันหลัง หากเกิดการกดทับ ติดขัด หรือเสื่อม จะมีผลให้เกิดอาการผิดปกติกับอวัยวะที่ควบคุม เช่น: C1-C3 ควบคุมศีรษะ ใบหน้า หู ตา ⇒ ปวดหัว ไมเกรน เวียนศีรษะ T3-T7 ควบคุมหัวใจ ปอด ตับอ่อน ⇒ หอบหืด จุกแน่นอก เบาหวาน L1-L5 ควบคุมลำไส้ มดลูก กระเพาะปัสสาวะ ขา ⇒ ท้องผูก ปวดเข่า ชา ✋ การกัวซาแนวกระดูกสันหลัง: แนวทางเสริมการรักษา การกัวซาตามแนวกระดูกสันหลัง (ทั้งสองข้างของแนวสันหลัง) ช่วยคลายพังผืด บรรเทาแรงกดทับของกล้ามเนื้อ และเปิดช่องทางการสื่อสารของเส้นประสาทได้ดีขึ้น ส่งผลให้: อวัยวะภายในทำงานดีขึ้น อาการปวดเรื้อรังลดลง ระบบขับถ่ายและระบบไหลเวียนดีขึ้น ผู้ป่วยโรคที่ไม่ทราบสาเหตุ (เช่น อ่อนเพลียเรื้อรัง ภูมิแพ้ ลำไส้แปรปรวน) ดีขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งยา 💡 กรณีศึกษา ผู้ป่วยบางรายที่มีอาการปวดหลัง ชามือ เท้าเย็น หรือปวดศีรษะเรื้อรัง พบว่ามีจุดสะสมของของเสียบริเวณแนวกระดูกคอและบั้นเอว การกัวซาบริเวณ C1–C3 หรือ L4–L5 อย่างต่อเนื่อง พบว่าอาการดีขึ้นใน 3–5 วัน โดยไม่ต้องใช้ยาใด ๆ 🔍 กลไกทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นไปได้ การขูดผิวหนังช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดในพื้นที่อย่างมาก หลังทำจะพบการยุบของเม็ดเลือดภายใน 25 นาที และช่วยลดอาการปวดเฉพาะที่และบริเวณใกล้เคียงได้จริง งานวิจัยจากเยอรมันพบว่ากัวซาช่วยบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อและเพิ่มช่วงการเคลื่อนไหว โดยไม่มีผลข้างเคียงรุนแรง 👐 วิธีการใช้กัวซาเบื้องต้นในคลินิก เตรียมผิว – ทายาหม่องหรือออยล์เบา ๆ เพื่อให้เครื่องมือเลื่อนไปบนผิวได้อย่างเรียบลื่นโดยไม่ทำร้ายผิว เทคนิคการขูด – ใช้แรงกดระดับกลาง ขูดเป็นทิศเดียวตามแนวกล้ามเนื้อหรือเส้นลมปราณ ประมาณ 4–6 นิ้วต่อครั้ง จนเห็นรอยแดงจาง ๆ (Sha) ตำแหน่งยอดนิยม – บ่า หลัง ต้นคอ ไหล่ หรือบนใบหน้า (รูปกรอบเล็ก) ถ้าทำ facial gua sha จะเบากว่าเพื่อความคงความนุ่มนวลของใบหน้า ระยะเวลา – 5–15 นาที/ไซต์ต่อการทำงานของกล้ามเนื้อ ✅ ข้อดีของกัวซา ประโยชน์ รายละเอียด บรรเทาปวด ลดอาการปวดคอ ไหล่ หลัง จากอาการ office syndrome ได้ทันที กระตุ้นระบบหมุนเวียนเลือด สนับสนุนการสูบฉีดเลือด น้ำเหลือง ผิวหลังขูดดู “มีชีวิต” มากขึ้น ลดการอักเสบ เครื่องหมายการอักเสบ เช่น บวมแดง ลดหลั่นอย่างชัดเจน และอาจช่วยผู้ป่วยหวัด คัดจมูกได้ ผิวดูสวยขึ้น รูปแบบ facial แบบเบาลงสามารถช่วยลดบวมของใบหน้า ปรับโครงหน้าอ่อนโยน ⚠️ ข้อควรระวังและข้อแนะนำ หลีกเลี่ยงบริเวณมีแผลสด หรือผิวอักเสบรุนแรง รอดูรอยแดงชั่วคราว ซึ่งจะหายใน 2–5 วัน ผู้ที่ใช้ยาละลายเลือด หรือมีโรคเกี่ยวกับเลือดควรปรึกษาแพทย์ก่อน ต้องทำความสะอาดเครื่องมือทุกครั้ง เพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อ

อ่านต่อ »
ไหล่ติด ยกได้ไม่สุด

หัวไหล่ติดรักษาได้ด้วยศาสตร์การแพทย์แผนไทย

ภาวะไหล่ติด (Frozen Shoulder) คือ ภาวะที่เกิดการอักเสบของเยื่อหุ้มข้อไหล่มีการหนาตัวและหดรัดข้อไหล่ ทำให้รู้สึกปวด ไม่สามารถขยับข้อไหล่ได้ตามองศาปกติ สาเหตุของภาวะไหล่ติด ไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด (Primary/Idiopathic Frozen Shoulder)• มักเกิดขึ้นเอง พบได้บ่อยในผู้หญิงที่มีอายุ 40-60 ปี มีสาเหตุชัดเจน (Secondary Frozen Shoulder)เกิดจากปัจจัยหรือโรคที่มีอยู่แล้ว เช่น• บาดเจ็บข้อไหล่ (เช่น เอ็นฉีก กล้ามเนื้อฉีก)• ข้อไหล่ไม่ได้เคลื่อนไหวนาน เช่น หลังผ่าตัดหรือเข้าเฝือก• โรคประจำตัว เช่น เบาหวาน, ไทรอยด์ผิดปกติ, โรคหลอดเลือดหัวใจ, โรคพาร์กินสัน,โรคหลอดเลือดสมอง ระยะการดำเนินโรค มี3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 (Freezing):2-9 เดือนมีอาการปวดรุนแรงและจำกัดการเคลื่อนไหว โดยเฉพาะเวลากลางคืน ระยะที่ 2 (Frozen):4-12 เดือนอาการปวดลดลง แต่ข้อไหล่ยังคงติดขัด ระยะที่ 3 (Thawing):5-24 เดือนอาการปวดลดลง และข้อไหล่ค่อยๆ ฟื้นตัวกลับมา 👉 สนใจดูแลอาการไหล่ติดกับทีมแพทย์แผนไทยประยุกต์ของเราอ่านเพิ่มเติมได้ที่ บริการนวดแผนไทยและบำบัดอาการ

อ่านต่อ »

การเตรียมตัวก่อนการนวด ข้อห้าม-ข้อควรระวังในการนวด

การเตรียมตัวก่อนการนวด รับประทานอาหารมาก่อนอย่างน้อย 30 นาที พักผ่อนให้เพียงพอ หากมีโรคประจำตัว ควรแจ้งให้แพทย์แผนไทยประยุกต์ทราบ และรับประทานยาให้ตรงตามแพทย์สั่ง กรณีไม่ประสงค์ใช้ชุดที่ทางคลินิกเตรียมไว้ให้ แนะนำให้แต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่สุภาพ ไม่รัดรูป เคลื่อนไหวได้สะดวก ผ้าไม่หนาจนเกินไป  ข้อห้ามในการนวด มีไข้สูงเกินกว่า 38.5 องศาเซลเซียส ความดันโลหิตสูงมากกว่า 160/100 มิลลิเมตรปรอท ร่วมกับมีอาการปวดเวียนศีรษะ หน้ามืด ใจสั่น หรือคลื่นไส้อาเจียน มีภาวะกระดูกพรุนรุนแรง เป็นโรคผิวหนังที่สามารถติดต่อได้ มีภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำ ได้รับการผ่าตัดในระยะเวลา 1 เดือน หลังจากประสบอุบัติเหตุมาใหม่ๆ ไม่นวดบริเวณที่ : มีแผลเปิด มีบาดแผลเรื้อรัง กระดูกหัก-แตก-ร้าว เป็นมะเร็ง ข้อควรระวังในการนวด เด็ก ผู้สูงอายุ และหญิงตั้งครรภ์ ความดันโลหิตสูงมากกว่า 160/100 มิลลิเมตรปรอท ไม่มีอาการหน้ามืด ใจสั่น ปวดศีรษะ หรือคลื่นไส้อาเจียน มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับหลอดเลือด เช่น หลอดเลือดแดงโป่ง หลอดเลือดอักเสบ หลอดเลือดแข็ง มีประวัติเลือดออกผิดปกติหรือรับประทานยาละลายลิ่มเลือด เป็นโรคเบาหวาน มีภาวะกระดูกพรุน มีภาวะข้อหลวม ข้อเคลื่อน ข้อหลุด มีบาดแผลที่ยังหายไม่สนิทดี ผิวหนังแตกง่าย หรือได้รับการปลูกถ่ายผิวหนัง

อ่านต่อ »

การประคบสมุนไพร

การประคบสมุนไพรเป็นอีกหนึ่งวิธีในการรักษาของแพทย์แผนไทย ซึ่งโดยส่วนมากมักจะใช้ควบคู่ไปกับการนวดรักษา เป็นการส่งเสริมประสิทธิภาพในการรักษาให้ดีขึ้น และทำให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายตัวมากขึ้น ทั้งนี้ในผู้ป่วยบางรายแพทย์แผนไทยหรือแพทย์แผนไทยประยุกต์อาจพิจารณารักษาด้วยการประคบสมุนไพรเป็นหลักเพียงอย่างเดียวก็ได้ ซึ่งส่วนมากจะเป็นการใช้ในผู้ป่วยที่มีภาวะบางอย่างที่ไม่เหมาะกับการนวดรักษา การประคบสมุนไพรจะเป็นลักษณะของการประคบร้อน ซึ่งหลักการรักษาหลักๆจะเป็นเรื่องของการใช้ความร้อนในการช่วยให้กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น พังผืด คลายความตึงตัว และช่วยขยายหลอดเลือด ทำให้การไหลเวียนเลือดดีขึ้น ในส่วนของตัวยาสมุนไพรซึ่งเป็นส่วนประกอบของลูกประคบนั้น ก็จะมีสรรพคุณที่ช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพการรักษาเพิ่มขึ้นอีกด้วย ประโยชน์ของการประคบสมุนไพร ช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อย ช่วยลดอาการบวม อักเสบของกล้ามเนื้อ ข้อต่อ หลัง 24-48 ชั่วโมง ลดอาการเกร็ง ตึง ของกล้ามเนื้อ พังผืด ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ส่วนประกอบหลักของลูกประคบสมุนไพร ไพล แก้ปวดเมื่อย ลดการอักเสบ ผิวมะกรูด มีน้ำมันหอมระเหย แก้ลมวิงเวียน ตะไคร้บ้าน แต่งกลิ่น ใบมะขาม แก้อาการคันตามร่างกาย ช่วยบำรุงผิว ขมิ้นชัน ช่วยลดอาการอักเสบ แก้โรคผิวหนัง เกลือ ช่วยดูดความร้อน และช่วยพาตัวยาซึมผ่านผิวหนังได้สะดวกขึ้น การบูร แต่งกลิ่น บำรุงหัวใจ พิมเสน แต่งกลิ่น บำรุงหัวใจ ข้อควรระวัง  ระวังการประคบบริเวณผิวหนังอ่อน บริเวณที่มีแผล ควรมีการทดสอบความร้อนบริเวณท้องแขนก่อนการประคบทุกครั้ง หากลูกประคบร้อนมากให้ใช้ผ้าขนหนูห่อลูกประคบก่อน ควรระวังเป็นพิเศษในผู้ป่วยเบาหวาน อัมพาต เด็ก และผู้สูงอายุ เนื่องจากกลุ่มบุคคลดังกล่าว ความรู้สึกตอบสนองต่อความร้อนช้า อาจจะทำให้ผิวหนังไหม้ พองได้ง่าย ไม่ควรใช้ลูกประคบสมุนไพรในกรณีที่มีการอักเสบ (ปวด, บวม, แดง, ร้อน) ในช่วง 24 ชั่วโมง เนื่องจากจะทำให้อักเสบมากขึ้นได้ หลังจากประคบสมุนไพรแล้ว ไม่ควรอาบน้ำทันทีเพราะจะไปชะล้างตัวยาออกจากผิวหนัง และอุณภูมิของร่างกายปรับเปลี่ยนไม่ทันอาจจะทำให้ธาตุในร่างกายเสียสมดุลได้

อ่านต่อ »

ยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณ 24 ตำรับ

ยาประสะกระเพรา สรรพคุณ แก้ท้องขึ้น ท้องเฟ้อ ยาวิสัมพยาใหญ่ สรรพคุณ แก้ท้องขึ้น อืดเฟ้อ จุกเสียด ยาประสะกานพลู แก้ปวดท้อง เนื่องจากธาตุไม่ปกติ ยาแสงหมึก สรรพคุณ แก้ตัวร้อน ละลายน้ําดอกไม้เทศ แก้ท้องขึ้น ปวดท้อง ละลายน้ําใบกะเพราต้ม แก้ไอ ขับเสมหะ ละลายน้ําลูกมะแว้งเครือ หรือลูกมะแว้งต้นกวาดคอ แก้แผลในปาก แก้ละออง ละลายน้ําลูกเบญกานีฝนทาในปาก ยามันทธาตุ สรรพคุณ แก้ธาตุไม่ปกติ แก้ท้องขึ้นท้องเฟ้อ ยาประสะเจตพังคี สรรพคุณ แก้กษัยจุกเสียด ยามหาจักรใหญ่ สรรพคุณ แก้ลมทราง แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ยาตรีหอม สรรพคุณ แก้เด็กท้องผูก ระบายพิษไข้ ยาธรณีสันฑะฆาต สรรพคุณ แก้กษัยเส้น เถาดาน ท้องผูก ยาถ่ายดีเกลือฝรั่ง สรรพคุณ แก้ท้องผูก ยาเหลืองปิดสมุทร สรรพคุณ แก้ท้องเสีย ยาธาตุบรรจบ สรรพคุณ แก้ธาตุไม่ปกติ ท้องเสีย ยาจันทน์ลีลา สรรพคุณ แก้ไข้ แก้ตัวร้อน ยาประสะจันทน์แดง สรรพคุณ แก้ไข้ตัวร้อน กระหายน้ํา ยาเขียวหอม สรรพคุณ แก้ตัวร้อน ร้อนใน กระหายน้ำ แก้พิษหัด พิษสุกใส ยามหานิลแท่งทอง สรรพคุณ แก้ไข้ แก้กระหายน้ํา, แก้หัด อีสุกอีใส รับประทานร่วมกับน้ํารากผักชีต้ม ยาหอมเทพจิตร สรรพคุณ แก้ลมวิงเวียน หน้ามืดตาลาย บํารุงดวงจิตให้ชุ่มชื่น ยาหอมทิพโอสถ สรรพคุณ แก้ลมวิงเวียน ยาหอมอินทจักร์ สรรพคุณ แก้ลมบาดทะจิต, แก้คลื่นเหียนอาเจียน, แก้ลมจุกเสียด ยาหอมนวโกฐ สรรพคุณ แก้ลมคลื่นเหียนอาเจียน, แก้ลมปลายไข้ ยาอํามฤควาที สรรพคุณ แก้ไอ ขับเสมหะ ละลายน้ํามะนาวแทรกเกลือ ใช้จิบหรือกวาดคอ ยาประสะมะแว้ง สรรพคุณ แก้ไอ แก้เสมหะ ละลายน้ํามะนาวแทรกเกลือรับประทานหรือใช้อม ยาประสะไพล สรรพคุณ แก้จุกเสียด แก้ระดูไม่ปกติ ขับน้ำคาวปลา ยาประสะเปราะใหญ่ สรรพคุณ ถอนพิษไข้ตานทรางสําหรับเด็กอายุต่ำกว่า ๕ ปี ซึ่งมีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ถ่ายเหลวกะปริบกะปรอย เบื่ออาหาร สามารถเลือกซื้อยาจากคลินิกได้ที่ :  Lazada

อ่านต่อ »

การอบไอน้ำสมุนไพร

การอบไอน้ำสมุนไพร เป็นภูมิปัญญาไทยที่ถ่ายทอดกันมาอย่างช้านาน สามารถใช้เป็นการรักษาหลัก การรักษาร่วมกับหัตถการทางการแพทย์แผนไทยอื่นๆ หรือใช้เพื่อสร้างเสริมสุขภาพก็ได้ โดยส่วนมากจะใช้ในการรักษาหรือบรรเทาอาการในผู้ป่วยที่มีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ทางเดินหายใจไม่โล่ง และใช้เป็นกระบวนการหนึ่งในการอยู่ไฟของมารดาหลังคลอด ไม่เพียงแต่ผู้ป่วยเท่านั้น ในคนที่มีสุขภาพดีก็สามารถอบไอน้ำสมุนไพรได้เช่นกัน โดยจะกล่าวถึงประโยชน์และข้อห้ามของการอบไอน้ำสมุนไพร ดังนี้ ประโยชน์ของการอบไอน้ำสมุนไพร  คลายความตึงตัวของกล้ามเนื้อ ลดอาการปวดเมื่อย ขยายหลอดเลือด กระตุ้นการไหลเวียนของเลือดให้ดีขึ้น บรรเทาอาการเหน็บชา ชาตามปลายมือปลายเท้า ช่วยให้ทางเดินหายใจโล่งขึ้น บรรเทาอาการคัดจมูกจากภูมิแพ้ได้ บรรเทาอาการหอบหืดเรื้อรัง ขับน้ำคาวปลาในมารดาหลังคลอด ลดความเครียด ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย การอบไอน้ำสมุนไพรมีการศึกษาวิจัยว่าสามารถช่วยลดอาการปวดเมื่อยและช่วยการไหลเวียนเลือดได้จริง 👉 Thai Herbal Steams & Soaks – Thai Healing Alliance (PDF) ข้อห้ามสำหรับการอบไอน้ำสมุนไพร มีไข้สูงมากกว่า 38 องศาเซลเซียส เพราะอาจมีการติดเชื้อโรคต่างๆ มีโรคประจำตัว เช่น โรคไต โรคหัวใจ โรคลมชัก โรคหอบหืดระยะรุนแรง โรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจที่รุนแรง โรคติดต่อร้ายแรงทุกชนิด มีการอักเสบจากบาดแผลต่างๆ สตรีขณะมีประจำเดือนร่วมกับมีอาการไข้ และปวดศีรษะ อ่อนเพลีย อดนอน อดอาหาร หรือหลังรับประทานอาหารใหม่ๆ ปวดศีรษะชนิดรุนแรง คลื่นไส้

อ่านต่อ »
Scroll to Top