บทความ

ภาพระยะใกล้ของหม้อดินเผาแบบไทยที่บรรจุเกลือเม็ดใหญ่ มีไอร้อนลอยขึ้น วางอยู่บนเตาถ่าน พร้อมสมุนไพรพื้นบ้านอยู่ด้านหลัง บรรยากาศอบอุ่นในสไตล์สปาไทย

การทับหม้อเกลือหลังคลอด ช่วยคุณแม่อย่างไร?

ตามหลักการแพทย์แผนไทย หลังคลอดบุตรร่างกายของมารดาจะสูญเสียธาตุทั้ง 4 ได้แก่ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม และธาตุไฟ ซึ่งต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ “การทับหม้อเกลือ” หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “การนาบหม้อเกลือ” จึงเป็นหนึ่งในวิธีฟื้นฟูสุขภาพตามศาสตร์การแพทย์แผนไทยประยุกต์ที่ เพื่อทำให้ร่างกายคุณแม่กลับคืนสู่ภาวะปกติ หลายคนอาจยังไม่รู้ว่า การทับหม้อเกลือช่วยอะไรได้บ้าง และควรทำเมื่อไรจึงจะปลอดภัยที่สุด? มาหาคำตอบกันค่ะ การทับหม้อเกลือคืออะไร? การทับหม้อเกลือ เป็นการใช้หม้อทะนนใส่เกลือทะเลหยาบ นำมาตั้งไฟให้ความร้อน แล้วนำมาห่อด้วยใบพลับพลึง และใส่สมุนไพรฤทธิ์ร้อน ประคบบริเวณหน้าท้อง มีสรรพคุณช่วยขับน้ำคาวปลา หน้าท้องกระชับ ทำให้มดลูกเข้าอู่เร็วขึ้น  ประโยชน์ของการทับหม้อเกลือหลังคลอด เพื่อฟื้นฟูสภาพหลังคลอด ช่วยให้เลือดและลมไหลเวียนสะดวก ช่วยทำให้มดลูกเข้าอู่ได้เร็วขึ้น ช่วยทำให้น้ำคาวปลาไหลสะดวก ช่วยทำให้กล้ามเนื้อหน้าท้องแข็งแรง และอาจส่งผลให้หน้าท้องยุบได้เร็ว บรรเทาอาการเมื่อยล้า ปวดกล้ามเนื้อ และปวดมดลูก ควรเริ่มทับหม้อเกลือเมื่อไร? กรณีคลอดธรรมชาติ: เริ่มได้ตั้งแต่ 7 วัน หลังคลอด กรณีผ่าคลอด: 30-45 วันหลังคลอด หรือหลังจากตรวจแผลผ่าคลอดเรียบร้อยแล้ว (แผลแห้งสนิทดี) ข้อห้ามในการทับหม้อเกลือ ไม่ควรทับหม้อเกลือขณะมีไข้  ควรทำหลังจากแผลผ่าคลอดแห้งสนิทดี  ทำควบคู่กับการอยู่ไฟจะได้ผลลัพธ์ดียิ่งขึ้น ทำไมต้องเลือกทับหม้อเกลือที่อุ่นเรือนคลินิก? ที่อุ่นเรือนคลินิก เรามีบริการอยู่ไฟหลังคลอดแบบครบวงจรโดยแพทย์แผนไทยประยุกต์ที่มีประสบการณ์ด้านการดูแลคุณแม่หลังคลอดโดยเฉพาะทั้งการนวดกระตุ้นน้ำนม นวดคลายกล้ามเนื้อ นวดโกยหน้าท้อง ทับหม้อเกลือและอบสมุนไพร เพื่อฟื้นฟูร่างกายอย่างปลอดภัย ✅ ให้บริการในคลินิกและนอกสถานที่✅ คอร์สอยู่ไฟ 3/5/7/10 วัน✅ แพทย์แผนไทยประยุกต์ จบการศึกษาจาก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล สาขาการแพทย์แผนไทยประยุกต์ 📞 จองคิว: 061-997-4162 | Line: @273cevhb📍 ดูแผนที่: อุ่นเรือนคลินิก

อ่านต่อ »
คุณแม่ตั้งครรภ์ขณะนวดโดยแพทย์แผนไทย

ข้อควรระวังในการนวดสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์

การนวดแม่ตั้งครรภ์ เป็นหนึ่งในวิธีผ่อนคลายที่หลายคนเลือกเพื่อบรรเทาอาการปวดเมื่อย แต่หากนวดไม่ถูกวิธี อาจเกิดผลข้างเคียงที่ส่งผลต่อทั้งคุณแม่และทารกในครรภ์ได้โดยไม่รู้ตัว ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปดูว่า ข้อควรระวังในการนวดหญิงตั้งครรภ์ มีอะไรบ้าง เพื่อให้การนวดขณะตั้งครรภ์นั้นปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด ทำไมนวดจึงสำคัญกับคุณแม่ตั้งครรภ์? ในระหว่างตั้งครรภ์ ร่างกายของผู้หญิงจะเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ทั้งในด้านฮอร์โมน กล้ามเนื้อ และระบบไหลเวียนโลหิต การนวดจึงช่วยบรรเทาอาการปวดหลัง ปวดเอว อ่อนล้า และช่วยให้นอนหลับดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกช่วงเวลาหรือทุกจุดของร่างกายจะนวดได้โดยปลอดภัย ช่วงเวลาที่ควรหลีกเหลี่ยงการนวด ไตรมาสแรก (1–12 สัปดาห์) เป็นช่วงที่คุณแม่ควรหลีกเลี่ยงการนวดอย่างยิ่ง เพราะเป็นช่วงที่มีความเสี่ยงสูงต่อการแท้ง หรือกระตุ้นให้มดลูกหดตัวโดยไม่ตั้งใจ หากไม่จำเป็น ควรรอให้อายุครรภ์เกิน 12 สัปดาห์ก่อนเข้ารับบริการ 1 เดือนก่อนคลอด เนื่องจากจะเป็นการกระตุ้นให้เจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดได้ หลักการนวดแม่ตั้งครรภ์ หรือนวดหญิงตั้งครรภ์ กดนวดเบาๆ ด้วยความนุ่มนวล เพื่อให้เกิดความผ่อนคลาย ไม่ทำให้เกร็ง หรือเจ็บ ไม่นวดบดขยี้ ด้วยความรุนแรง อาจเสี่ยงการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ตามมาได้ ฟังเสียงร่างกายตัวเองเสมอ หากขณะนวดรู้สึกเวียนหัว หน้ามืด ใจสั่น หรือท้องแข็ง — หยุดทันที และแจ้งแพทย์หรือผู้ให้บริการ เพราะร่างกายกำลังส่งสัญญาณว่ามีความไม่สมดุลเกิดขึ้น ท่านอนที่เหมาะสมในการนอนของหญิงตั้งครรภ์ แนะนำให้ใช้ ท่านอนตะแคงซ้าย ระหว่างนวด เพื่อป้องกันการกดทับเส้นเลือดใหญ่ (vena cava) ที่จะส่งผลต่อระบบไหลเวียนเลือดของแม่และลูกในครรภ์ เลือกแพทย์แผนไทยประยุกต์ที่มีประสบการณ์ การนวดขณะตั้งครรภ์ไม่ควรทำโดยหมอนวดทั่วไป ควรเลือกผู้ที่มีความรู้เฉพาะทางเกี่ยวกับ การดูแลหญิงตั้งครรภ์ และผ่านการอบรมด้าน การนวดปลอดภัยสำหรับแม่ตั้งครรภ์ โดยเฉพาะ หากคุณกำลังมองหาคลินิกที่เข้าใจคุณแม่ตั้งครรภ์อย่างแท้จริง 📍 เราขอแนะนำบริการ นวดสำหรับแม่ตั้งครรภ์โดยแพทย์แผนไทยประยุกต์📆 เปิดบริการทุกวัน 10:00 – 20:00 น. | โทร. 061-997-4162 | Line: @273cevhb 

อ่านต่อ »
หญิงสูงอายุชาวเอเชียใต้กำลังนั่งบนโซฟา มือจับหน้าท้อง สีหน้าเจ็บปวดจากอาการลมในร่างกาย

ลมในร่างกายเยอะคืออะไร? อาการ สาเหตุ และวิธีแก้แบบแพทย์แผนไทยประยุกต์

เคยไหม? แน่นหน้าอก อืดท้อง จุกเสียด เวียนศีรษะ หรือแม้แต่นอนไม่หลับโดยไม่ทราบสาเหตุ อาจเป็นเพราะ “ลมในร่างกายเยอะ” ซึ่งพบได้บ่อยโดยเฉพาะในคนยุคใหม่ที่มีความเครียดสูงและระบบย่อยอาหารทำงานไม่สมดุล “ลมในร่างกาย” ตามศาสตร์แพทย์แผนไทย ในแพทย์แผนไทยประยุกต์ “ลม” หรือ “วาโยธาตุ” เป็นธาตุหนึ่งในสี่ (ดิน-น้ำ-ลม-ไฟ) ที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย เช่น การหายใจ การเคลื่อนตัวของอาหาร เลือด หรือแม้แต่ความคิด หากลมเดินผิดจะเกิดอาการหลากหลาย เช่น: แน่นท้อง อืด จุกเสียด เวียนศีรษะ หน้ามืด ใจสั่น นอนไม่หลับ ปวดเมื่อยเรื้อรัง รู้สึกเหมือนมีลมตีขึ้นศีรษะหรือตามตัว 🧾 สาเหตุที่ทำให้ลมในร่างกายมากผิดปกติ กินอาหารไม่ตรงเวลา หรือกินของแสลงลม พฤติกรรมเนือยนิ่ง ไม่ค่อยเคลื่อนไหว ความเครียด พักผ่อนน้อย ท้องผูกเรื้อรัง การรับลมเย็นหรืออยู่ในห้องแอร์นานเกินไป 🩺 วิธีการดูแลตัวเองเมื่อมีลมในร่างกายมาก 1. ปรับอาหาร หลีกเลี่ยง: ของทอด อาหารหมักดอง น้ำอัดลม ถั่ว ผักดิบ เพิ่มอาหารขับลม: ขิง ตะไคร้ พริกไทยดำ กระชาย กะเพรา ดื่มน้ำขิงอุ่น หรือชาตะไคร้แทนน้ำเย็น 2. ใช้ศาสตร์แผนไทยประยุกต์ นวดจับเส้น / นวดรักษา เพื่อเปิดเส้นลมที่อุดกั้น ประคบสมุนไพร เพื่อคลายกล้ามเนื้อและระบายลม อบสมุนไพร กระตุ้นการไหลเวียนของลมและเลือด 3. ออกกำลังกายเบาๆ เช่น เดินเร็ว โยคะ ยืดเหยียดกล้ามเนื้อ 4. ปรึกษาแพทย์แผนไทยประยุกต์   🧘‍♀️ อุ่นเรือนคลินิก ดูแลลมในร่างกายด้วยวิธีธรรมชาติ ที่ อุ่นเรือนคลินิกการแพทย์แผนไทยประยุกต์ เราให้บริการดูแลลมในร่างกายด้วยศาสตร์การแพทย์แผนไทย ได้แก่ นวดรักษา + ประคบสมุนไพร อบไอน้ำสมุนไพร ปรับสมดุลธาตุ จ่ายยาสมุนไพรเพื่อปรับสมดุลธาตุตามความเหมาะสมกับโรคหรืออาการของแต่ละบุคคล ปรึกษาและติดตามอาการกับแพทย์แผนไทยประยุกต์จบปริญญาตรีจากศิริราช 📍 เปิดบริการทุกวัน 10:00–20:00 น.📞 โทร 061-997-4162 | Facebook | Line ID: @273cevhb

อ่านต่อ »
อุปกรณ์​ Wellness

คลินิกแพทย์แผนไทยประยุกต์ กับ Wellness ต่างกันอย่างไร?

รู้จักแนวทางการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมสู่คุณภาพชีวิตที่ดี ปัจจุบันคนไทยและทั่วโลกให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมมากขึ้น ไม่ใช่เพียงการรักษาเมื่อเจ็บป่วย แต่รวมถึงการป้องกัน ฟื้นฟู และเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ ทำให้แพทย์ทางเลือก (ซึ่งในที่นี้จะกล่าวถึง “แพทย์แผนไทยประยุกต์”) และ “Wellness” ได้รับความสนใจอย่างแพร่หลาย หลายคนอาจสงสัยว่าสองแนวทางนี้เหมือนหรือต่างกันอย่างไร วันนี้เราจะมาอธิบายให้เข้าใจอย่างชัดเจน ความหมายของ “คลินิกแพทย์แผนไทยประยุกต์” แพทย์แผนไทยประยุกต์ คือ การนำศาสตร์การแพทย์แผนไทยดั้งเดิมมาปรับใช้ร่วมกับความรู้ทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ โดยยึดหลัก 4 องค์ประกอบของชีวิต คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ พร้อมแนวคิดสุขภาพแบบองค์รวม (Holistic Health) คลินิกแพทย์แผนไทยประยุกต์ จึงเป็นสถานพยาบาลที่มีบุคลากรวิชาชีพที่ได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงสาธารณสุข ให้บริการตรวจ วินิจฉัย รักษา และฟื้นฟูผู้ป่วยด้วยศาสตร์แผนไทย เช่น การนวดไทยเพื่อการรักษา การประคบสมุนไพร การอบไอน้ำสมุนไพร การใช้ยาไทย หรือยาสมุนไพร การดูแลมารดาหลังคลอด หรือการอยู่ไฟหลังคลอด การปรับสมดุลธาตุทั้งสี่ของร่างกาย ความหมายของ “Wellness” Wellness (เวลเนส) หรือ “สุขภาวะ” คือแนวคิดการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมโดยเน้นการส่งเสริมสุขภาพก่อนที่จะเกิดโรค เน้นการมีคุณภาพชีวิตที่ดีทั้งด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม และจิตวิญญาณ บริการด้าน Wellness อาจประกอบด้วย: โปรแกรมล้างพิษ (Detox) โภชนาการเพื่อสุขภาพ ฟิตเนสและโยคะ การทำสมาธิ / Mindfulness การให้คำปรึกษาทางสุขภาพ ทรีตเมนต์เพื่อผ่อนคลาย เช่น สปา อโรมาเทอราพี โดยสถานที่ที่ให้บริการ Wellness อาจเป็นศูนย์สุขภาพ รีสอร์ต หรือสถานบริการเฉพาะทางที่ไม่ได้เน้นการรักษาโรคโดยตรง ความเหมือนกันระหว่างคลินิกแพทย์แผนไทยประยุกต์กับ Wellness ทั้งสองแนวทางเน้นการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม (Holistic Health) ให้ความสำคัญกับการป้องกันโรคและการฟื้นฟูสุขภาพ ส่งเสริมการปรับสมดุลของร่างกายและจิตใจ ใช้แนวทางธรรมชาติ เช่น สมุนไพร การนวด การผ่อนคลาย ความแตกต่างที่สำคัญ ประเด็น คลินิกแพทย์แผนไทยประยุกต์ Wellness จุดมุ่งหมายหลัก การรักษา ฟื้นฟู หรือบำบัดโรค การส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค ผู้ให้บริการ แพทย์แผนไทยประยุกต์ (มีใบอนุญาตวิชาชีพ) เทรนเนอร์ นักกำหนดอาหาร นักสุขภาพ หรือผู้เชี่ยวชาญด้าน Wellness (อาจไม่จำเป็นต้องมีใบประกอบวิชาชีพ) ลักษณะการบริการ มีการตรวจ วินิจฉัย รักษาตามหลักแพทย์แผนไทย มุ่งเน้นกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพ เช่น โภชนาการ ออกกำลังกาย ผ่อนคลาย การกำกับดูแล อยู่ภายใต้กระทรวงสาธารณสุข มักดำเนินงานภายใต้ภาคเอกชนหรืออุตสาหกรรมท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ บทสรุป แม้ว่า คลินิกแพทย์แผนไทยประยุกต์ และ Wellness จะมีจุดร่วมในแนวคิดการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม แต่เป้าหมายและแนวทางการดำเนินการยังแตกต่างกันอย่างชัดเจน หากคุณมีอาการเจ็บป่วยเรื้อรัง ต้องการการบำบัดจากศาสตร์แผนไทยที่มีมาตรฐานและปลอดภัย ควรเลือก คลินิกแพทย์แผนไทยประยุกต์ หากคุณต้องการฟื้นฟูร่างกาย เติมพลังชีวิต หรือปรับไลฟ์สไตล์เพื่อสุขภาพ ควรเลือกโปรแกรมในสาย Wellness สุดท้าย ไม่ว่าจะเลือกแนวทางใด สิ่งสำคัญคือการใส่ใจดูแลตนเองในทุกมิติ ทั้งกาย ใจ และจิตวิญญาณ เพื่อสร้าง “สุขภาพดี” ที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง ที่ อุ่นเรือนคลินิกการแพทย์แผนไทยประยุกต์ เราเชื่อในศาสตร์ของการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ด้วยแนวทางแพทย์แผนไทยประยุกต์ที่ไม่เพียงเน้นการรักษา แต่ยังรวมถึงการส่งเสริม ป้องกัน และฟื้นฟูสุขภาพอย่างต่อเนื่อง นอกจากบริการตรวจ วินิจฉัย และรักษาโดยแพทย์แผนไทยประยุกต์ที่ได้รับใบอนุญาต เรายังมีโปรแกรมส่งเสริมสุขภาพที่เหมาะกับผู้ที่ไม่ได้มีอาการเจ็บป่วย อาทิ นวดไทยและประคบสมุนไพรเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพ นวดน้ำมันอโรม่า นวดหน้า อบไอน้ำสมุนไพร การให้คำแนะนำตามศาสตร์การแพทย์แผนไทย เราใส่ใจในทุกขั้นตอน เพื่อให้คุณได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมกับสุขภาวะทางกายและใจ หากคุณกำลังมองหาทางเลือกเพื่อสุขภาพที่ปลอดภัย เป็นธรรมชาติ และยั่งยืนติดต่อสอบถามหรือจองคิว คลิกที่นี่

อ่านต่อ »

คำถามที่พบบ่อย: การอยู่ไฟแม่หลังคลอด

อยู่ไฟคืออะไร? อยู่ไฟ คือกระบวนการดูแลร่างกายของคุณแม่หลังคลอดตามศาสตร์การแพทย์แผนไทย โดยใช้การนวด ประคบสมุนไพร อบสมุนไพร ทับหม้อเกลือ และการอยู่ในที่อบอุ่น เพื่อช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น อยู่ไฟหลังคลอดได้เมื่อไหร่? โดยทั่วไปสามารถเริ่มอยู่ไฟได้หลังคลอดประมาณ 7-10 วัน หากคลอดธรรมชาติ และประมาณ 30-45 วันหากคลอดผ่าตัด แต่ควรได้รับการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญก่อนเริ่มการอยู่ไฟ อยู่ไฟช่วยอะไรบ้าง? ลดอาการปวดเมื่อยจากการอุ้มลูกหรือให้นม ขับน้ำคาวปลาและของเสีย ช่วยให้มดลูกเข้าอู่เร็วขึ้น ปรับสมดุลธาตุทั้ง 4 ภายในร่างกาย ผ่อนคลายกล้ามเนื้อและลดความเครียด ฟื้นฟูระบบไหลเวียนโลหิต อยู่ไฟกี่วันถึงจะเห็นผล? แนะนำให้อยู่ไฟอย่างต่อเนื่อง 5-7 วันขึ้นไป จะเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงชัดเจน เช่น รู้สึกเบาสบายตัว นอนหลับดีขึ้น และอาการปวดเมื่อยลดลง 👉 ทักไลน์เพื่อดูราคาและจองรอบ อยู่ไฟที่บ้านกับที่คลินิกต่างกันยังไง? อยู่ไฟที่บ้าน: สะดวก ไม่ต้องเดินทาง เหมาะสำหรับแม่ที่มีลูกเล็กหรือไม่มีคนช่วยดูแล อยู่ไฟที่คลินิก: มีอุปกรณ์ครบ บรรยากาศผ่อนคลาย และทำให้คุณแม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ สนใจคอร์สอยู่ไฟ? สอบถามผ่าน LINE ถ้าไม่มีเวลาอยู่ไฟทุกวัน ทำแบบไหนได้บ้าง? สามารถเลือกคอร์สแบบวันเว้นวัน หรือ 3 วันต่อสัปดาห์ก็ได้ ทางคลินิกมีแพ็กเกจที่ยืดหยุ่น เหมาะกับคุณแม่แต่ละคน สามารถอยู่ไฟได้แม้ผ่าคลอดหรือไม่? ได้ค่ะ แต่ต้องรอให้แผลผ่าตัดแห้งและไม่มีการติดเชื้อ (ประมาณ 30-45 วัน)  อยู่ไฟมีข้อห้ามหรือข้อควรระวังไหม? หากมีไข้ อักเสบ หรือแผลยังไม่สมานดี ควรเลื่อนการอยู่ไฟ หากมีโรคประจำตัวควรแจ้งแพทย์ก่อนเข้ารับบริการ ต้องเตรียมอุปกรณ์อะไรไว้ให้คุณหมอสำหรับอยู่ไฟที่บ้านบ้างคะ? ทางคลินิกขออนุญาตใช้สิ่งของภายในบ้านของคุณแม่ดังนี้ค่ะ: เตาแก๊ส  ปลั๊กไฟใกล้บริเวณที่ทำการอยู่ไฟ เตียงนอนหรือเบาะปูพื้น คาน/บานประตูที่สามารถแขวนกระโจมอบสมุนไพรได้ เก้าอี้สำหรับนั่งในกระโจม (ควรเป็นเก้าอี้สูง) หากมีข้อจำกัดหรือไม่สะดวกตรงไหนสามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ได้เลยนะคะ ทางเรายินดีปรับให้เหมาะกับบ้านของคุณแม่ค่ะ คุณแม่ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้างก่อนอยู่ไฟที่บ้าน? ก่อนอยู่ไฟที่บ้าน คุณแม่สามารถเตรียมตัวล่วงหน้าได้ตามนี้เลยค่ะ: การอยู่ไฟใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงต่อครั้ง แนะนำให้ ให้นมน้องให้เรียบร้อยก่อนเริ่ม เพราะหลังอยู่ไฟร่างกายจะอบอุ่น น้ำนมจะมาได้ดี และสามารถให้นมต่อได้ทันที ควร เข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย ก่อนเริ่มอยู่ไฟ ใส่เสื้อผ้าที่ สบายตัว เช่น เสื้อยืดกับกางเกงผ้านิ่ม ไม่จำเป็นต้องใส่ชุดชั้นใน หากมี กระโจมอก สามารถใส่ได้ตอนเข้าอบสมุนไพร แนะนำให้เลือกบริเวณที่ สงบและอากาศถ่ายเทได้ดี ภายในบ้าน เพื่อให้การอยู่ไฟมีประสิทธิภาพและคุณแม่รู้สึกผ่อนคลายที่สุด หากมีข้อสงสัยหรือติดขัดเรื่องพื้นที่ อุปกรณ์ หรืออื่น ๆ สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ได้เลยนะคะ ทางเรายินดีปรับให้เหมาะกับบ้านของคุณแม่ค่ะ 💚 การอยู่ไฟช่วยกระตุ้นน้ำนมได้จริงไหม? ได้ค่ะ 💚 การอยู่ไฟตามศาสตร์การแพทย์แผนไทยช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ทำให้ร่างกายอบอุ่นและผ่อนคลาย ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการหลั่งฮอร์โมนที่ช่วยกระตุ้นน้ำนม เช่น oxytocin หลังจากอยู่ไฟเสร็จ หลายคนจะรู้สึกว่า “น้ำนมมาเยอะขึ้นทันที” หรือ ไหลดีขึ้นกว่าก่อนอยู่ไฟ โดยเฉพาะถ้าได้ทำร่วมกับการนวดเปิดท่อน้ำนม และดูแลการพักผ่อนของคุณแม่ควบคู่ หากคุณแม่มีปัญหาน้ำนมมาน้อย ทางทีมงานสามารถปรับเทคนิคอยู่ไฟและการประคบสมุนไพรเพื่อช่วยกระตุ้นเฉพาะจุดได้ค่ะ อยู่ไฟแล้วให้นมลูกได้เลยไหม? ได้เลยค่ะ! 😊 หลังอยู่ไฟเสร็จสามารถให้นมลูกได้ทันทีเพราะร่างกายจะอบอุ่น โลหิตไหลเวียนดี และฮอร์โมนที่เกี่ยวกับการผลิตน้ำนมจะทำงานได้เต็มที่แนะนำว่า ก่อนเริ่มอยู่ไฟควรให้นมน้องไว้ก่อน 1 รอบ แล้วพอเสร็จจะสามารถให้นมรอบต่อไปได้พอดีค่ะ อยู่ไฟกับการนวดเปิดท่อน้ำนม ต่างกันยังไง? การอยู่ไฟและการนวดเปิดท่อน้ำนม เป็นการดูแลหลังคลอดที่มีเป้าหมายต่างกัน แต่สามารถ เสริมกันได้อย่างดีมาก ค่ะ รายการ อยู่ไฟ นวดเปิดท่อน้ำนม ✅ เป้าหมายหลัก ฟื้นฟูร่างกายแม่หลังคลอด กระตุ้นระบบไหลเวียน แก้อาการน้ำนมไม่ไหล ท่อน้ำนมตัน น้ำนมน้อย ✅ วิธีการ ใช้ความร้อนจากสมุนไพร: อบ ประคบ นวดผ่อนคลาย นวดหน้าอกเฉพาะจุด เปิดท่อน้ำนมอย่างนุ่มนวล ✅ ผลต่อการให้นม ร่างกายอบอุ่น → ฮอร์โมนหลั่งดี น้ำนมมาเยอะขึ้น ช่วยให้ น้ำนมไหลคล่อง / ไม่คัดเจ็บ ✅ เหมาะกับ ทุกแม่หลังคลอด (แม้ไม่มีปัญหานม) แม่ที่มีปัญหาน้ำนมโดยเฉพาะ เช่น ตัน / น้อย / คัด ✅ ทำร่วมกันได้ไหม ได้ค่ะ! เห็นผลดีขึ้นมากเมื่อทำร่วมกัน     💚 แนะนำให้เริ่มต้นด้วย อยู่ไฟเพื่อปรับสมดุลร่างกาย และถ้ามีปัญหาเรื่องน้ำนม → นวดเปิดท่อเฉพาะจุดเสริม เพื่อให้เห็นผลเร็วและปลอดภัยค่ะ ท่อน้ำนมตันควรแก้ยังไง? ถ้าคุณแม่รู้สึกว่าเต้านมแข็ง เจ็บ ปวด หรือมีจุดนูนเป็นก้อน อาจเกิดจาก ท่อน้ำนมตัน ค่ะ วิธีแก้เบื้องต้นมีดังนี้: ✅ แนวทางดูแลด้วยตัวเอง (เบื้องต้น) ประคบร้อนก่อนให้นม หรือก่อนปั๊ม นวดเบา ๆ บริเวณที่เป็นก้อน โดยไล่จากฐานเต้าเข้าหาหัวนม ให้น้องดูดบ่อยขึ้น และเริ่มจากข้างที่ตันก่อน ปรับท่าอุ้มน้องให้หลากหลาย เพื่อกระตุ้นการระบายน้ำนมให้ทั่ว ❗ หากยังไม่ดีขึ้นภายใน 24–48 ชม.: แนะนำให้ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการนวดเปิดท่อน้ำนม ที่อุ่นเรือนคลินิกมีบริการนวดเปิดท่อน้ำนมโดยแพทย์แผนไทยประยุกต์👉 ช่วยให้ก้อนน้ำนมคลายโดยไม่เจ็บ และปลอดภัยต่อคุณแม่ 🟢 หากมีไข้ หนาวสั่น หรือเจ็บมาก → ควรพบแพทย์ทันที เพราะอาจเป็นอาการเต้านมอักเสบค่ะ อยู่ไฟ คือกระบวนการดูแลร่างกายของคุณแม่หลังคลอดตามศาสตร์การแพทย์แผนไทย โดยใช้การนวด ประคบสมุนไพร อบสมุนไพร ทับหม้อเกลือ และการอยู่ในที่อบอุ่น เพื่อช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น โดยทั่วไปสามารถเริ่มอยู่ไฟได้หลังคลอดประมาณ 7-10 วัน หากคลอดธรรมชาติ และประมาณ 30-45 วันหากคลอดผ่าตัด แต่ควรได้รับการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญก่อนเริ่มการอยู่ไฟ ลดอาการปวดเมื่อยจากการอุ้มลูกหรือให้นม ขับน้ำคาวปลาและของเสีย ช่วยให้มดลูกเข้าอู่เร็วขึ้น ปรับสมดุลธาตุทั้ง 4 ภายในร่างกาย ผ่อนคลายกล้ามเนื้อและลดความเครียด ฟื้นฟูระบบไหลเวียนโลหิต แนะนำให้อยู่ไฟอย่างต่อเนื่อง 5-7 วันขึ้นไป จะเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงชัดเจน เช่น รู้สึกเบาสบายตัว นอนหลับดีขึ้น และอาการปวดเมื่อยลดลง 👉 ทักไลน์เพื่อดูราคาและจองรอบ อยู่ไฟที่บ้าน: สะดวก ไม่ต้องเดินทาง เหมาะสำหรับแม่ที่มีลูกเล็กหรือไม่มีคนช่วยดูแล อยู่ไฟที่คลินิก: มีอุปกรณ์ครบ บรรยากาศผ่อนคลาย และทำให้คุณแม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ สนใจคอร์สอยู่ไฟ? สอบถามผ่าน LINE สามารถเลือกคอร์สแบบวันเว้นวัน หรือ 3 วันต่อสัปดาห์ก็ได้ ทางคลินิกมีแพ็กเกจที่ยืดหยุ่น เหมาะกับคุณแม่แต่ละคน ได้ค่ะ แต่ต้องรอให้แผลผ่าตัดแห้งและไม่มีการติดเชื้อ (ประมาณ 30-45 วัน)  หากมีไข้ อักเสบ หรือแผลยังไม่สมานดี ควรเลื่อนการอยู่ไฟ หากมีโรคประจำตัวควรแจ้งแพทย์ก่อนเข้ารับบริการ ทางคลินิกขออนุญาตใช้สิ่งของภายในบ้านของคุณแม่ดังนี้ค่ะ: เตาแก๊ส  ปลั๊กไฟใกล้บริเวณที่ทำการอยู่ไฟ เตียงนอนหรือเบาะปูพื้น คาน/บานประตูที่สามารถแขวนกระโจมอบสมุนไพรได้ เก้าอี้สำหรับนั่งในกระโจม (ควรเป็นเก้าอี้สูง) หากมีข้อจำกัดหรือไม่สะดวกตรงไหนสามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ได้เลยนะคะ ทางเรายินดีปรับให้เหมาะกับบ้านของคุณแม่ค่ะ ก่อนอยู่ไฟที่บ้าน คุณแม่สามารถเตรียมตัวล่วงหน้าได้ตามนี้เลยค่ะ: การอยู่ไฟใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงต่อครั้ง แนะนำให้ ให้นมน้องให้เรียบร้อยก่อนเริ่ม เพราะหลังอยู่ไฟร่างกายจะอบอุ่น น้ำนมจะมาได้ดี และสามารถให้นมต่อได้ทันที ควร เข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย ก่อนเริ่มอยู่ไฟ ใส่เสื้อผ้าที่ สบายตัว เช่น เสื้อยืดกับกางเกงผ้านิ่ม ไม่จำเป็นต้องใส่ชุดชั้นใน หากมี กระโจมอก สามารถใส่ได้ตอนเข้าอบสมุนไพร แนะนำให้เลือกบริเวณที่ สงบและอากาศถ่ายเทได้ดี ภายในบ้าน เพื่อให้การอยู่ไฟมีประสิทธิภาพและคุณแม่รู้สึกผ่อนคลายที่สุด หากมีข้อสงสัยหรือติดขัดเรื่องพื้นที่ อุปกรณ์ หรืออื่น ๆ สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ได้เลยนะคะ ทางเรายินดีปรับให้เหมาะกับบ้านของคุณแม่ค่ะ 💚 ได้ค่ะ 💚 การอยู่ไฟตามศาสตร์การแพทย์แผนไทยช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ทำให้ร่างกายอบอุ่นและผ่อนคลาย ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการหลั่งฮอร์โมนที่ช่วยกระตุ้นน้ำนม เช่น oxytocin หลังจากอยู่ไฟเสร็จ หลายคนจะรู้สึกว่า “น้ำนมมาเยอะขึ้นทันที” หรือ ไหลดีขึ้นกว่าก่อนอยู่ไฟ โดยเฉพาะถ้าได้ทำร่วมกับการนวดเปิดท่อน้ำนม และดูแลการพักผ่อนของคุณแม่ควบคู่ หากคุณแม่มีปัญหาน้ำนมมาน้อย ทางทีมงานสามารถปรับเทคนิคอยู่ไฟและการประคบสมุนไพรเพื่อช่วยกระตุ้นเฉพาะจุดได้ค่ะ ได้เลยค่ะ! 😊 หลังอยู่ไฟเสร็จสามารถให้นมลูกได้ทันทีเพราะร่างกายจะอบอุ่น โลหิตไหลเวียนดี และฮอร์โมนที่เกี่ยวกับการผลิตน้ำนมจะทำงานได้เต็มที่แนะนำว่า ก่อนเริ่มอยู่ไฟควรให้นมน้องไว้ก่อน 1 รอบ แล้วพอเสร็จจะสามารถให้นมรอบต่อไปได้พอดีค่ะ การอยู่ไฟและการนวดเปิดท่อน้ำนม เป็นการดูแลหลังคลอดที่มีเป้าหมายต่างกัน แต่สามารถ เสริมกันได้อย่างดีมาก ค่ะ รายการ อยู่ไฟ นวดเปิดท่อน้ำนม ✅ เป้าหมายหลัก ฟื้นฟูร่างกายแม่หลังคลอด กระตุ้นระบบไหลเวียน แก้อาการน้ำนมไม่ไหล ท่อน้ำนมตัน น้ำนมน้อย ✅ วิธีการ ใช้ความร้อนจากสมุนไพร: อบ ประคบ นวดผ่อนคลาย นวดหน้าอกเฉพาะจุด เปิดท่อน้ำนมอย่างนุ่มนวล ✅ ผลต่อการให้นม ร่างกายอบอุ่น → ฮอร์โมนหลั่งดี น้ำนมมาเยอะขึ้น ช่วยให้ น้ำนมไหลคล่อง / ไม่คัดเจ็บ ✅ เหมาะกับ ทุกแม่หลังคลอด (แม้ไม่มีปัญหานม) แม่ที่มีปัญหาน้ำนมโดยเฉพาะ เช่น ตัน / น้อย / คัด ✅ ทำร่วมกันได้ไหม ได้ค่ะ! เห็นผลดีขึ้นมากเมื่อทำร่วมกัน     💚 แนะนำให้เริ่มต้นด้วย อยู่ไฟเพื่อปรับสมดุลร่างกาย และถ้ามีปัญหาเรื่องน้ำนม → นวดเปิดท่อเฉพาะจุดเสริม เพื่อให้เห็นผลเร็วและปลอดภัยค่ะ ถ้าคุณแม่รู้สึกว่าเต้านมแข็ง เจ็บ ปวด หรือมีจุดนูนเป็นก้อน อาจเกิดจาก ท่อน้ำนมตัน ค่ะ วิธีแก้เบื้องต้นมีดังนี้: ✅ แนวทางดูแลด้วยตัวเอง (เบื้องต้น) ประคบร้อนก่อนให้นม หรือก่อนปั๊ม นวดเบา ๆ บริเวณที่เป็นก้อน โดยไล่จากฐานเต้าเข้าหาหัวนม ให้น้องดูดบ่อยขึ้น และเริ่มจากข้างที่ตันก่อน ปรับท่าอุ้มน้องให้หลากหลาย เพื่อกระตุ้นการระบายน้ำนมให้ทั่ว ❗ หากยังไม่ดีขึ้นภายใน 24–48 ชม.: แนะนำให้ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการนวดเปิดท่อน้ำนม ที่อุ่นเรือนคลินิกมีบริการนวดเปิดท่อน้ำนมโดยแพทย์แผนไทยประยุกต์👉 ช่วยให้ก้อนน้ำนมคลายโดยไม่เจ็บ และปลอดภัยต่อคุณแม่ 🟢 หากมีไข้ หนาวสั่น หรือเจ็บมาก → ควรพบแพทย์ทันที เพราะอาจเป็นอาการเต้านมอักเสบค่ะ

อ่านต่อ »

กัวซา (Gua Sha) คืออะไร?

“กัวซา” กับกระดูกสันหลัง: ฟื้นฟูสุขภาพด้วยศาสตร์ธรรมชาติบำบัด ศาสตร์ของกัวซา (Gua sha) หรือการขูดเส้น เป็นการแพทย์พื้นบ้านที่มีมาแต่โบราณ จุดมุ่งหมายหลักเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและพลังงานลมปราณ (ชี่) ขับของเสียออกจากร่างกาย ลดอาการติดขัดและบรรเทาอาการเจ็บปวดตามแนวเส้นพลังงานต่าง ๆ ซึ่งในทางกายภาพสมัยใหม่สามารถอธิบายได้ว่า การกัวซาช่วยกระตุ้น ระบบประสาทอัตโนมัติและระบบไหลเวียนโลหิต 🧠 เส้นประสาทและกระดูกสันหลัง: จุดเชื่อมโยงสำคัญกับอวัยวะภายใน กระดูกสันหลังไม่ได้เป็นเพียงโครงสร้างที่ช่วยค้ำจุนร่างกาย แต่ยังเป็นศูนย์กลางของการส่งผ่าน “กระแสประสาท” จากสมองไปสู่อวัยวะต่าง ๆ ผ่านเส้นประสาทไขสันหลัง หากเกิดการกดทับ ติดขัด หรือเสื่อม จะมีผลให้เกิดอาการผิดปกติกับอวัยวะที่ควบคุม เช่น: C1-C3 ควบคุมศีรษะ ใบหน้า หู ตา ⇒ ปวดหัว ไมเกรน เวียนศีรษะ T3-T7 ควบคุมหัวใจ ปอด ตับอ่อน ⇒ หอบหืด จุกแน่นอก เบาหวาน L1-L5 ควบคุมลำไส้ มดลูก กระเพาะปัสสาวะ ขา ⇒ ท้องผูก ปวดเข่า ชา ✋ การกัวซาแนวกระดูกสันหลัง: แนวทางเสริมการรักษา การกัวซาตามแนวกระดูกสันหลัง (ทั้งสองข้างของแนวสันหลัง) ช่วยคลายพังผืด บรรเทาแรงกดทับของกล้ามเนื้อ และเปิดช่องทางการสื่อสารของเส้นประสาทได้ดีขึ้น ส่งผลให้: อวัยวะภายในทำงานดีขึ้น อาการปวดเรื้อรังลดลง ระบบขับถ่ายและระบบไหลเวียนดีขึ้น ผู้ป่วยโรคที่ไม่ทราบสาเหตุ (เช่น อ่อนเพลียเรื้อรัง ภูมิแพ้ ลำไส้แปรปรวน) ดีขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งยา 💡 กรณีศึกษา ผู้ป่วยบางรายที่มีอาการปวดหลัง ชามือ เท้าเย็น หรือปวดศีรษะเรื้อรัง พบว่ามีจุดสะสมของของเสียบริเวณแนวกระดูกคอและบั้นเอว การกัวซาบริเวณ C1–C3 หรือ L4–L5 อย่างต่อเนื่อง พบว่าอาการดีขึ้นใน 3–5 วัน โดยไม่ต้องใช้ยาใด ๆ 🔍 กลไกทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นไปได้ การขูดผิวหนังช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดในพื้นที่อย่างมาก หลังทำจะพบการยุบของเม็ดเลือดภายใน 25 นาที และช่วยลดอาการปวดเฉพาะที่และบริเวณใกล้เคียงได้จริง งานวิจัยจากเยอรมันพบว่ากัวซาช่วยบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อและเพิ่มช่วงการเคลื่อนไหว โดยไม่มีผลข้างเคียงรุนแรง 👐 วิธีการใช้กัวซาเบื้องต้นในคลินิก เตรียมผิว – ทายาหม่องหรือออยล์เบา ๆ เพื่อให้เครื่องมือเลื่อนไปบนผิวได้อย่างเรียบลื่นโดยไม่ทำร้ายผิว เทคนิคการขูด – ใช้แรงกดระดับกลาง ขูดเป็นทิศเดียวตามแนวกล้ามเนื้อหรือเส้นลมปราณ ประมาณ 4–6 นิ้วต่อครั้ง จนเห็นรอยแดงจาง ๆ (Sha) ตำแหน่งยอดนิยม – บ่า หลัง ต้นคอ ไหล่ หรือบนใบหน้า (รูปกรอบเล็ก) ถ้าทำ facial gua sha จะเบากว่าเพื่อความคงความนุ่มนวลของใบหน้า ระยะเวลา – 5–15 นาที/ไซต์ต่อการทำงานของกล้ามเนื้อ ✅ ข้อดีของกัวซา ประโยชน์ รายละเอียด บรรเทาปวด ลดอาการปวดคอ ไหล่ หลัง จากอาการ office syndrome ได้ทันที กระตุ้นระบบหมุนเวียนเลือด สนับสนุนการสูบฉีดเลือด น้ำเหลือง ผิวหลังขูดดู “มีชีวิต” มากขึ้น ลดการอักเสบ เครื่องหมายการอักเสบ เช่น บวมแดง ลดหลั่นอย่างชัดเจน และอาจช่วยผู้ป่วยหวัด คัดจมูกได้ ผิวดูสวยขึ้น รูปแบบ facial แบบเบาลงสามารถช่วยลดบวมของใบหน้า ปรับโครงหน้าอ่อนโยน ⚠️ ข้อควรระวังและข้อแนะนำ หลีกเลี่ยงบริเวณมีแผลสด หรือผิวอักเสบรุนแรง รอดูรอยแดงชั่วคราว ซึ่งจะหายใน 2–5 วัน ผู้ที่ใช้ยาละลายเลือด หรือมีโรคเกี่ยวกับเลือดควรปรึกษาแพทย์ก่อน ต้องทำความสะอาดเครื่องมือทุกครั้ง เพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อ

อ่านต่อ »

นวดแก้อาการกับนวดผ่อนคลาย ต่างกันยังไง? เลือกแบบไหนดี?

หลายคนที่มาคลินิกมักมีคำถามว่า “ควรนวดแบบไหนดี?” ระหว่าง 🔹 “นวดรักษา หรือ นวดแก้อาการ” กับ 🔹 “นวดสร้างเสริมสุขภาพ หรือ นวดผ่อนคลาย” ดูเผินๆ อาจคล้ายกัน แต่ความจริงแล้ว เป้าหมายและเทคนิคต่างกันชัดเจน วันนี้อุ่นเรือนคลินิกขออธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ เพื่อให้คุณเลือกบริการได้ตรงกับความต้องการของร่างกายค่ะ  💪 นวดรักษา หรือ นวดแก้อาการ คืออะไร? นวดแก้อาการเป็น การนวดเพื่อบำบัดอาการปวดหรือความไม่สมดุลของร่างกาย เช่น ปวดคอ บ่า ไหล่ Office Syndrome ปวดหลังเรื้อรัง ชา ปวดตามแขนขา เส้นตึง กล้ามเนื้อเกร็ง 👩‍⚕️ ผู้ให้บริการต้องเป็น แพทย์แผนไทยประยุกต์ หรือ แพทย์แผนไทย ที่มีความรู้ด้านกายวิภาคและเทคนิคเฉพาะ ใช้การกดจุด ยืดกล้ามเนื้อ หรือแม้แต่เผายาสมุนไพรร่วมด้วยในบางกรณี 🟢 เหมาะกับ: ผู้ที่มีอาการเจ็บ ปวด เคยผ่านการรักษาแล้วไม่ดีขึ้น หรืออยากลองทางเลือกที่ไม่ใช้ยา ☁️ นวดสร้างเสริมสุขภาพ หรือ นวดผ่อนคลาย คืออะไร? นวดผ่อนคลายเป็นการนวดเพื่อ ส่งเสริมสุขภาพและลดความเครียด ใช้แรงกดไม่ลึกนัก เน้นการไหลเวียนของเลือดและลมภายในร่างกาย เช่น นวดน้ำมันหอมระเหย นวดประคบสมุนไพร นวดฝ่าเท้าเพื่อความผ่อนคลาย 👩🏻‍🌾 เหมาะกับคนที่รู้สึกเหนื่อยล้า เครียดจากงาน นอนไม่หลับ หรืออยากให้ร่างกายสดชื่นขึ้น 🔍 แล้วเราควรเลือกแบบไหนดี? อาการ/ความรู้สึก แนะนำบริการ ปวดหลัง ปวดคอ ออฟฟิศซินโดรม ✅ นวดรักษา เครียด นอนหลับไม่สนิท ✅ นวดสร้างเสริมสุขภาพ ปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง ชาร้าว ✅ นวดรักษา อยากเติมพลัง คลายความล้า ✅ นวดสร้างเสริมสุขภาพ ใช้ชีวิตนั่งทำงานนาน ✅ ทั้งสองแบบ สลับกันได้ https://youtube.com/shorts/WzoClWbFetA?si=axfDiYzucxXgzuI- 🏥 ที่อุ่นเรือนคลินิก เรามีบริการนวดทั้ง 2 แบบ โดยทีมแพทย์แผนไทยประยุกต์ผู้เชี่ยวชาญคุณสามารถปรึกษาก่อนได้ว่า ควรนวดแบบไหน เพื่อให้เหมาะกับร่างกายของคุณที่สุด คลิกปรึกษาฟรี

อ่านต่อ »
ไหล่ติด ยกได้ไม่สุด

หัวไหล่ติดรักษาได้ด้วยศาสตร์การแพทย์แผนไทย

ภาวะไหล่ติด (Frozen Shoulder) คือ ภาวะที่เกิดการอักเสบของเยื่อหุ้มข้อไหล่มีการหนาตัวและหดรัดข้อไหล่ ทำให้รู้สึกปวด ไม่สามารถขยับข้อไหล่ได้ตามองศาปกติ สาเหตุของภาวะไหล่ติด ไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด (Primary/Idiopathic Frozen Shoulder)• มักเกิดขึ้นเอง พบได้บ่อยในผู้หญิงที่มีอายุ 40-60 ปี มีสาเหตุชัดเจน (Secondary Frozen Shoulder)เกิดจากปัจจัยหรือโรคที่มีอยู่แล้ว เช่น• บาดเจ็บข้อไหล่ (เช่น เอ็นฉีก กล้ามเนื้อฉีก)• ข้อไหล่ไม่ได้เคลื่อนไหวนาน เช่น หลังผ่าตัดหรือเข้าเฝือก• โรคประจำตัว เช่น เบาหวาน, ไทรอยด์ผิดปกติ, โรคหลอดเลือดหัวใจ, โรคพาร์กินสัน,โรคหลอดเลือดสมอง ระยะการดำเนินโรค มี3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 (Freezing):2-9 เดือนมีอาการปวดรุนแรงและจำกัดการเคลื่อนไหว โดยเฉพาะเวลากลางคืน ระยะที่ 2 (Frozen):4-12 เดือนอาการปวดลดลง แต่ข้อไหล่ยังคงติดขัด ระยะที่ 3 (Thawing):5-24 เดือนอาการปวดลดลง และข้อไหล่ค่อยๆ ฟื้นตัวกลับมา 👉 สนใจดูแลอาการไหล่ติดกับทีมแพทย์แผนไทยประยุกต์ของเราอ่านเพิ่มเติมได้ที่ บริการนวดแผนไทยและบำบัดอาการ

อ่านต่อ »
ผายลม

ทำไมนวดกดจุดแล้วจึงเรอหรือผายลม

ทำไมนวดแล้วเรอ? นวดแล้วเรอ เป็นอาการที่หลายคนเคยประสบหลังเข้ารับบริการนวดกดจุดหรือการนวดแผนไทย โดยเฉพาะเมื่อนวดบริเวณท้องหรือแนวลม หลายคนอาจสงสัยว่าเรอแบบนี้เป็นเรื่องผิดปกติหรือไม่ บางคนถึงกับคิดว่าตัวเองแพ้การนวด แต่ในความเป็นจริงแล้ว อาการนี้ถือเป็นสัญญาณที่ดีในมุมมองของแพทย์แผนไทย การเรอเป็นเรื่องดีหรือไม่? ในทางแพทย์แผนไทย อาการเรอหลังนวดถือเป็นเรื่องปกติ เพราะร่างกายกำลังปรับสมดุล และขับลมส่วนเกินที่เคยคั่งค้าง แต่หากมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น: เรอร่วมกับเจ็บหน้าอก คลื่นไส้ หายใจลำบาก ควรหยุดการนวดและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทันที เพราะอาจมีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร หรือภาวะอื่นที่ไม่เกี่ยวกับการนวด ทำไมบางคนไม่เรอเลย? ไม่ใช่ทุกคนที่นวดแล้วจะมีอาการเรอ บางคนอาจแสดงออกในรูปแบบอื่น เช่น: ผายลม ท้องร้อง ง่วงนอนหลังนวด อาการเหล่านี้เป็นผลจากร่างกายที่กำลังตอบสนองต่อการกระตุ้นเช่นเดียวกันกับการเรอ ดังนั้นแม้ไม่มีอาการเรอก็ไม่ได้แปลว่าไม่ได้ผล หลักการทางการแพทย์แผนไทย ร่างกายมนุษย์มีเส้นประธานสิบที่เปรียบเสมือนถนนใช้เป็นเส้นทางเดินของลมไปทั่วร่างกาย (ลมในเส้น)เมื่อร่างกายมีความผิดปกติที่ส่งผลให้เกิดการขัดขวางเส้นทางเดินของลม ทำให้เกิดการคั่งอั้นของลมในบริเวณต่างๆ ส่งผลให้มีอาการชา ตึง ปวด เมื่อย หน้ามืด วิงเวียน การกดนวดและการประคบสมุนไพรจะกระตุ้นการไหลเวียนของลมให้ไหลเวียนได้ดีขึ้น จึงทำให้สามารถเกิดการเรอหรือผายลมได้ ปัจจัยที่ส่งผลถึงปริมาณของลมในเส้น 💨 อาหาร เมื่อรับประทานอาหารที่ย่อยยาก บดเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด ส่งผลให้เกิดลมในท้องที่มีจำนวนมากแทรกเข้าสู่ทางเดินเส้นประธานสิบ💨 อากาศเย็นและการอยู่ในอิริยาบถเดิมนานๆส่งผลให้ลมในเส้นเคลื่อนไหวลดลง มัดกล้ามเนื้อซึ่งเป็นธาตุดิน เกิดการเกร็งตึง ส่งผลให้ลมคั่งอั้น💨 ความเครียด ทำให้ธาตุไฟและธาตุลมเพิ่มสูงขึ้น ธาตุน้ำในกล้ามเนื้อลดลง ธาตุดินแข็งตึง ขัดขวางทางเดินของลม หลักการทางวิทยาศาสตร์ ระบบประสาทอัตโนมัติ แบ่งออกเป็น 3 ระบบ คือ ระบบซิมพาเทติก ทำให้ร่างกายตื่นตัว ต่อสภาวะความเครียด พร้อมที่จะรับมือต่อภารกิจต่างๆ ระบบพาราซิมพาเทติก ทำให้ผ่อนคลาย เกี่ยวข้องกับการย่อยอาหาร และการนอนหลับพักผ่อน ระบบประสาทลำไส้ ควบคุมการทำงานของระบบทางเดินอาหาร ซึ่งระบบซิมพาเทติกมักทำงานตรงกันข้ามกับระบบพาราซิมพาเทติก ส่วนระบบประสาทลำไส้จะเสริมการทำงานของระบบพาราซิมพาเทติกการนวดทำให้ร่างกายผ่อนคลายช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบพาราซิมพาเทติกและระบบประสาทลำไส้ ยับยั้งการทำงานของระบบซิมพาเทติก ทำให้กล้ามเนื้อหูรูดคลายตัว กระตุ้นการบีบตัวของทางเดินอาหาร จึงทำให้เกิดการเรอและผายลมออกมานั่นเอง คำแนะนำหลังนวดกดจุด หลังจาก นวดแล้วเรอ หรือมีอาการขับลมในรูปแบบอื่น แนะนำให้ปฏิบัติตัวดังนี้: ดื่มน้ำอุ่น 1 แก้ว เพื่อช่วยให้ระบบย่อยทำงานดีขึ้น พักผ่อน 15–30 นาที เพื่อให้ร่างกายปรับตัว หลีกเลี่ยงของเย็นหรืออาหารหนักทันทีหลังนวด การดูแลตัวเองหลังนวดจะช่วยให้ผลการบำบัดอยู่ได้นานขึ้น และลดอาการข้างเคียงต่างๆ ได้

อ่านต่อ »
Scroll to Top